เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของชาวล้านนา และเชื่อว่าเป็นวัดประจำปีเกิดของปีชวด หรือหนู ดังนั้นการมีโอกาสได้ไปกราบไหว้พระธาตุประจำปีเกิดของตนอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต ก็เชื่อว่าจะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
ประวัติโดยย่อ
ตามตำนานเล่าว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้เคยเสด็จมายังบริเวณนี้และตรัสว่าในอนาคตที่นี่จะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุของพระองค์ ได้แก่ พระบรมธาตุส่วนทักษิณโมลีธาตุจอมหัวเบื้องขวา ธาตุกระดูกด้ามมีด (ไหปลาร้า) เบื้องขวา และพระธาตุย่อยอีก 5 องค์ และที่นี่จะเป็นที่ตั้งพระพุทธศาสนาอันรุ่งเรืองสืบไป และตำนานยังกล่าวถึงพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ชาวอินเดีย องค์เอกอัครพุทธศาสนูปถัมภก ว่าเป็นผู้อัญเชิญพระบรมธาตุมาประดิษฐานไว้ที่ดอยจอมทองตั้งแต่ พ.ศ. 218 โดยได้เสด็จมาอัญเชิญพระบรมธาตุสู่คูหาใต้พื้นดอยจอมทอง จนมีการก่อสร้างสถาปนาวัดพระธาตุศรีจอมทอง และมีการค้นพบพระบรมธาตุในกาลต่อมา
ในพ.ศ.2060 เมื่อครั้งที่พระเจ้าศิริธรรมจักรพรรดิ (พระเมืองแก้ว) เป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ขณะนั้นจอมทองเป็นส่วนหนึ่งของล้านนา พระเมืองแก้วได้ทรงรับสั่งให้มีการปฏิสังขรณ์ปลูกสร้างพระวิหาร 4 มุขหลังหนึ่ง ยึดตามแบบของวิหารวัดศรีภูมิในตัวเมืองเชียงใหม่แล้วสั่งให้ก่อปราสาทหลังหนึ่งในเหมือนปราสาทอันมีอยู่ในพระอุโบสถวัดมหาโพธิหลวง (วัดเจ็ดยอด) เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุ จากนั้นรับสั่งให้ช่างทองสร้างโกศทองคำเพื่อเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุ ทรงประกอบพิธีสมโภชเฉลิมฉลอง และอัญเชิญพระบรมธาตุเข้าไว้ในโกศทองคำ และประดิษฐานไว้ในมณฑปปราสาทนั้น และได้พระราชทานวัตถุไทยทานและเครื่องแห่ไว้กับพระบรมธาตุเจ้าเป็นอันมาก ทั้งยังถวายข้าทาสและที่นาให้แก่วัด เรียกว่า “ข้าพระธาตุ” เพื่อให้คนเหล่านั้นอยู่ดูแลรักษาทำนุบำรุงพระบรมธาตุและวัดสืบไป
สำหรับผู้ที่เกิดปีนักษัตรปีชวด (หนู) ตามความเชื่อของชาวล้านนา ผู้ที่เกิดในปีนักษัตรนี้จะต้องไปกราบไหว้บูชา “พระธาตุศรีจอมทอง” ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
ดังนั้นการมีโอกาสได้ไปกราบไหว้พระธาตุประจำปีเกิดของตนอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต ก็เชื่อว่าจะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
ส่วนที่อยู่ติดกันคือพระวิหารหลวงทรงจตุรมุขอันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุ องค์พระธาตุนั้นบรรจุอยู่ในโกศทองคำ ซึ่งประดิษฐานอยู่บนมณฑปปราสาท หรือ “กู่” ซึ่งเป็นอาคารขนาดเล็กสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปหรือพระบรมธาตุ มีประตู 4 ด้าน หลังคาหลายชั้นซ้อนกันมียอดแหลมงดงามยิ่งนัก โดยกู่นี้เปรียบเสมือนปราสาทที่ประทับของพระพุทธเจ้านั่นเอง ประชาชนสามารถเข้าไปสักการะพระบรมธาตุภายในวิหารหลวงกันได้
วัดร่องขุ่น
พระธาตุดอยตุง
ดอยผาตั้ง